ในปัจจุบัน เจ้าสาวเริ่มหันมานิยมสั่งตัดชุดแต่งงานกันมากขึ้น เพราะสามารถเลือกแบบ เลือกเนื้อผ้า เลือกการตกแต่งเองได้ แบบไม่ซ้ำใคร ซึ่งชุดแต่งงานแบบตัดนั้น มีให้เลือกทั้ง ตัด – ซื้อ และ ตัด – เช่า ซึ่งปัญหาที่ตามมาคือ เมื่อเจอคำถามนี้เข้าไป คุณลูกค้าจะตัดชุดแบบไหนดีคะ ? ใช้เนื้อผ้าอะไรดี ? คุณจะอึ้งไปต่อไม่ถูกเลย เพราะไม่รู้เลยว่า เนื้อผ้าสำหรับชุดเจ้าสาว มีกี่แบบ แต่ละแบบต่างกันอย่างไร
พอมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าเจ้าสาวหลาย ๆ ท่าน เริ่มกังวล เอาอย่างไรดี จะสั่งตัด หรือเปลี่ยนใจไปเช่าชุดดี ไม่ต้องกังวลใจไปนะคะ เพราะวันนี้แอดมิน VenueE จะมาอธิบายให้ทุกคนฟังว่าเนื้อผ้าสำหรับชุดเจ้าสาวมีกี่แบบ แต่ละแบบต่างกันอย่างไร
1. ผ้าซาติน / ผ้าดัชเชสซาติน (Satin)

เริ่มต้นกับผ้าชนิดแรกที่เป็นที่นิยมนำมาใช้ตัดชุดเจ้าสาวมากที่สุด อย่าง “ผ้าซาติน” หรือ “ผ้าดัชเชสซาติน” เป็นผ้าที่ทำมาจากไหมแท้ 100% มีลักษณะเบาบาง นุ่มลื่น เป็นมันวาว ทิ้งตัวได้ดี ไม่แนบเนื้อ มีความคงทน ไม่ขาดง่าย สามารถนำมาตัดได้หลากหลายแบบ โดยเฉพาะกับชุดที่มีการจับเดรปผ้าและทรงบอลกาวน์ ด้วยความที่เนื้อผ้าซาตินนั้นหนา จึงไม่เหมาะกับงานเอ้าท์ดอร์ อากาศร้อน และไม่ค่อยเหมาะกับสาวอวบเท่าไหร่นัก
2. ผ้าชาร์มัวส์ (Charmeuse)

มากันต่อที่ “ผ้าชาร์มัว” เป็นผ้าที่ทำมาจากผ้าไหมผสมกับใยสังเคราะห์ มีสัมผัสที่นุ่มลื่น เป็นมันวาว เนื้อผ้าบางเบากว่าผ้าซาติน แต่ยังคงความหรูหราสวยงาม นอกจากนี้ ผ้าชาร์มัวส์ยังสวมใส่ได้สบาย เดินง่าย จึงเหมาะกับการใส่เข้าพิธีแต่งงานกลางแจ้ง นิยมนำผ้าชาร์มัวส์มาตัดชุดเจ้าสาวสไตล์ชีท (Sheath) ที่เน้นโชว์ส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกาย ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับเจ้าสาวหุ่นอวบ
3. ผ้าชีฟอง (Chiffon)

“ผ้าชีฟอง” เป็นอีกผ้าชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยม ด้วยความที่ผ้ามีลักษณะโปร่งบาง น้ำหนักเบา มักใช้ตกแต่งเป็นผ้าระบายหรือคลุมทับด้านนอกของตัวกระโปรง เพื่อให้ชุดดูมีน้ำหนักและมีมิติ ดูเหมือนชุดเต้นรำของเจ้าหญิงที่มีความพริ้วไหวและดูบอบบางน่าทะนุถนอม แต่ด้วยความที่ผ้าชีฟองบางมาก จึงต้องทะนุถนอมดูแลเป็นอย่างดี เพราะชุดอาจขาดได้ง่าย ดังนั้นผ้าชีฟองจึงเหมาะกับงานแต่งงานที่เจ้าสาวไม่จำเป็นต้องทำกิจกรรมเยอะมาก หรือมีพื้นที่จัดงานค่อนข้างโล่ง
4. ผ้าออร์แกนซ่า (Organza)

ผ้าที่มีความละม้ายคล้ายผ้าชีฟอง ไม่ว่าจะเป็นวิธีการใช้หรือข้อจำกัด แต่จะต่างกันตรงที่ “ผ้าออร์แกนซ่า” นั้นจะแข็งกว่าและไม่เงาวาวเท่าผ้าชีฟอง เหมาะกับเจ้าสาวที่ต้องการชุดแต่งงานแบบชวนฝันแต่ยังคงความเรียบหรู ไม่หวานจนเกินไป นิยมนำไปตัดชุดแต่งงานทรงบอลกาวน์และทรงเอ – ไลน์ อย่างไรก็ตามผ้าชนิดนี้เหมือนกับผ้าชีฟอง ต้องระมัดระวังในขณะที่สวม อย่าเดินไปเดินมาบ่อย เพราะผ้าออร์แกนซ่าขาดง่าย
5. ผ้าลูกไม้ (Lace)

เรียกได้ว่าเป็นผ้าที่เราคุ้นหูกันมากที่สุดอย่าง “ผ้าลูกไม้” ถือได้ว่าเป็นผ้าที่นิยมนำมาตกแต่งรายละเอียดด้านนอกสุดของชุด เพื่อเสริมความอลังการ หรูหรา ไม่ว่าจะเป็นส่วนของเนคไลน์ ตัวเสื้อ แขนเสื้อ กระโปรง หรือแม้กระทั่งเวลเจ้าสาวค่ะ ซึ่งผ้าลูกไม้เองก็มีหลากหลายชนิดให้เจ้าสาวได้เลือกใช้ ยกตัวอย่างผ้าลูกไม้ที่นิยมใช้มากที่สุด
- Chantilly ผ้าลูกไม้ที่มีลวดลายดอกไม้ เพื่อเพิ่มความเซ็กซี่ให้กับเจ้าสาวแต่ยังคงความอ่อนช้อย
- Alencon ยังคงมีลายเป็นดอกไม้ แต่มีความหนาแน่นมากกว่าและมีช่องว่างระหว่างลายน้อยกว่า Chantilly ค่ะ
- Guipure ผ้าลูกไม้ที่นิยมแบบสุดท้าย จะมีลวดลายทั้งแบบดอกไม้และกราฟฟิค จะหนาและหนักกว่า 2 แบบแรก โดยเน้นไปทางงานปักมากกว่า
6. ผ้าจอร์เจียร์ (Georgette)

“ผ้าจอร์เจีย” เป็นผ้าอีกชนิดที่นิยมนำมาตกแต่งส่วนชั้นนอกสุดของชุดแต่งงาน เพราะผ้าชนิดนี้จะทำให้รูปทรงของชุดดูเข้ารูปแต่ดูซอฟต์มากขึ้น นอกจากนี้ผ้าจอร์เจียเป็นผ้าที่มีความพริ้วสูง แต่เป็นผ้าที่เนื้อแมทต์และยังคงความโปร่งบางได้เช่นเดียวกับผ้าซาติน แต่ไม่สามารถมองเห็นทะลุได้
7. ผ้าทูลล์ (Tulle)

ถ้าใครเคยเห็นชุดแต่งงานที่กระโปรงยาวพองฟูฟ่องชั้นนอกสุด เหมือนดั่งเจ้าหญิงในเทพนิยาย หรือเวลเจ้าสาวก็ดี ที่เราเห็นนั้นเป็น “ผ้าทูลล์” ค่ะ เป็นผ้าตาข่ายเนื้อนิ่ม โปร่งและเบา อากาศถ่ายเทได้สะดวก นิยมใช้คู่กับผ้าชนิดอื่น อย่างผ้าลูกไม้เป็นต้น
8. ผ้าทาฟต้า (Taffeta)

“ผ้าทาฟต้า” เป็นผ้าที่ค่อนข้างบาง น้ำหนักเบา มีรูปทรงคงตัวสวยงาม แต่ค่อนข้างยับง่าย ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นกิมมิคที่เพิ่มความสวยงามให้กับชุดแต่งงานนี้ นิยมตัดชุดเจ้าสาวทรงบอลกาวน์หรือทรงปริ้นเซสค่ะ
9. ผ้าเครป (Crepe)

สำหรับเจ้าสาวที่อยากตัดชุดแต่งงานทรงเอ – ไลน์ หรือทรงเมอร์เมด หรือสไตล์มินิมอล ต้องใช้ “ผ้าเครป” นะคะ เพราะผ้าเครปเป็นผ้าเนื้อแมตต์ที่ดูนุ่มสลวยงดงาม เนื้อผ้ามีหลายระดับให้เลือกตั้งแต่เบาไปจนหนัก ด้วยน้ำหนักและลักษณะเนื้อผ้านี้จะช่วยเน้นรูปร่างเจ้าสาวขณะก้าวเดินได้เป็นอย่างดี
10. ผ้าไหมชานตุง (Shantung)

ถ้าใครแต่งงานในช่วงหน้าร้อนหรือแต่งงานกลางแจ้ง แอดมินขอแนะนำ “ผ้าไหมชานตุง” เพราะผ้าไหมชานตุงเป็นเนื้อผ้าที่ผสมระหว่างผ้าเครปและผ้าไหมทักถอขึ้น มีน้ำหนักเบา เหมาะกับการตัดเย็บชุดแต่งงานแบบเรียบ ๆ แต่ดูโก้ ไม่ต้องการลงดีเทลปักเลื่อม หรือปักลูกไม้เพิ่ม
11. ผ้าดูไพโอนิ (Dupioni)

“ผ้าดูไพโอนิ” เป็นผ้าที่ค่อนข้างแข็ง เหมาะสำหรับตัดเย็บชุดแต่งงานที่เน้นโครงสร้าง หรือชุดแต่งงานที่มีกระโปรงลากยาวมาก ๆ
12. ผ้าฟายเล่ (Faille)

ถึงคราวเนื้อผ้าที่เหมาะสำหรับตัดเย็บชุดแต่งงานที่เน้นโครงสร้างให้ชัด เน้นความเรียบง่าย แต่สวยงาม และมีลักษณะเป็นรูเล็ก ๆ ระบายอากาศได้ดี จะเป็นผ้าชนิดไหนไปไม่ได้เลย นอกจาก “ผ้าฟายเล่”
13. ผ้ากาซาร์ (Gazar)

ผ้าที่มีความคล้ายกับผ้าออร์แกนซ่า (Organza) แม้แต่ชื่อยังคล้ายกันเลย “ผ้ากาซาร์” จะมีความแข็งและโปร่งกว่าเล็กน้อย เหมาะสำหรับตัดชุดแต่งงานทรงบอลกาวน์ หรือบริเวณท่อนบนที่อยากลงดีเทลงานปัก
14. ผ้าเน็ต (Net)

“ผ้าเน็ต” เป็นผ้าที่มีลักษณะเป็นซีทรูโปร่งบาง ระบายอากาศได้ดี มักจะประดับด้วยลูกปัดหรือเลื่อม เพื่อเพิ่มความสวยงามหรูหรา
15. English Net

มาถึงผ้าชนิดสุดท้ายกันแล้วนะคะ กับผ้า “English Net” เป็นผ้าที่มีลักษณะคล้ายกับผ้าทูล (Tulle) แต่มีความนุ่มและมีน้ำหนักมากกว่า ผ้าชนิดนี้สามารถนำมาจับเดรป และนิยมใช้กับกระโปรงทรงเอ – ไลน์ค่ะ
จบกันไปแล้วกับ เนื้อผ้าสำหรับชุดเจ้าสาว ทั้ง 15 แบบ จะเห็นได้ว่าผ้าบางแบบก็เหมาะกับชุดแต่งงานบางสไตล์เท่านั้น ใช่ว่าจะสามารถทำได้ทุกสไตล์นะคะ ที่สำคัญต้องเลือกชนิดผ้าให้ถูกกับสภาพอากาศ อย่างเช่น ถ้าจัดในกลางแจ้งเอาท์ดอร์ก็ควรเลือกผ้าที่มีลักษณะโปร่งบาง เบา ใส่แล้วสบายค่ะ
สามารถอ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ VenueE blog และอย่าลืมติดตาม เพจเฟสบุ๊ค VenueE หรือ ไอจี VenueE กันนะคะ